การเข้าสู่เชลฟ์ของร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-Eleven ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของแบรนด์ไทยขนาดเล็กหลายราย เพราะไม่เพียงเพิ่มยอดขายได้มหาศาล แต่ยังเป็นการพิสูจน์ว่าธุรกิจของคุณมีความพร้อมทั้งด้านคุณภาพสินค้า การตลาด และการบริหารจัดการ บทความนี้รวบรวมกรณีศึกษาของแบรนด์ไทยที่เริ่มต้นจากศูนย์ แล้วสามารถเข้าสู่ระบบจัดจำหน่ายของ 7-Eleven ได้สำเร็จ พร้อมแนวทางที่เจ้าของธุรกิจสามารถนำไปประยุกต์ใช้จริง
สารบัญ
Toggleตัวอย่างแบรนด์ไทยประสบความสำเร็จจาก 0
1. เยลลี่ซันซุ (Sunsu Jelly)
จากความตั้งใจของผู้ก่อตั้งที่อยากสร้างขนมเพื่อสุขภาพ เยลลี่ซันซุจึงถือกำเนิดขึ้น โดยใช้วัตถุดิบอย่างบุก ซึ่งมีแคลอรี่ต่ำ และผสานกับรสชาติผลไม้แบบไม่มีน้ำตาล เพื่อให้เหมาะกับผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความอร่อยแต่ไม่อยากอ้วน
สิ่งที่ทำให้ซันซุแตกต่างคือการ “เข้าใจตลาดได้เร็ว” พวกเขาเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่น่ารัก ใช้งานง่าย และมีราคาที่เข้าถึงได้ จึงดึงดูดกลุ่มลูกค้าทั้งวัยรุ่น คนทำงาน และสายเฮลท์ตี้ได้ในเวลาเดียวกัน หลังจากเริ่มต้นจากการขายผ่านช่องทางออนไลน์และอีเวนต์เล็ก ๆ ในไม่กี่เดือน ซันซุก็สามารถเข้าสู่เชลฟ์ 7-Eleven ทั่วประเทศ และกลายเป็นหนึ่งในสินค้าที่สร้างยอดขายระดับร้อยล้านในปีแรกของการวางจำหน่าย
2. กล้วยหอมทองของ ภักดี เดชจินดา
ใครจะคิดว่าผลไม้พื้นบ้านอย่างกล้วยหอมทอง จะสามารถกลายเป็นสินค้าที่ป้อนเข้าสู่ระบบ 7-Eleven ได้ทุกวัน จากจุดเริ่มต้นของ “ลุงภักดี” ที่เริ่มปลูกกล้วยในพื้นที่เล็ก ๆ และค่อย ๆ ขยายเครือข่ายการปลูกในหมู่บ้าน กลยุทธ์สำคัญของเขาคือ “ทำทุกขั้นตอนให้ได้มาตรฐาน”
จากการใส่ใจตั้งแต่พันธุ์กล้วย การจัดเก็บ การแพ็ค และการขนส่ง ทำให้กล้วยหอมทองที่ผ่านกระบวนการของลุงภักดี มีคุณภาพสม่ำเสมอและส่งมอบได้ตามเงื่อนไขของระบบค้าปลีกขนาดใหญ่ ปัจจุบัน เขาสามารถส่งกล้วยหอมทองได้กว่า 17,000–20,000 ลูกต่อวัน กระจายอยู่ใน 9 จังหวัดทางภาคเหนือ และยังสร้างรายได้หมุนเวียนให้กับเกษตรกรในเครือข่ายอีกด้วย
3. JOYOUS จากของใช้ชิ้นเล็กในตลาดนัด สู่สินค้า 7-Eleven
JOYOUS เริ่มจากการขายเครื่องประดับผมราคาประหยัดตามร้านค้าและตลาดนัด ก่อนจะมองเห็นโอกาสในการ “ขยายสินค้าเข้าสู่ช่องทางโมเดิร์นเทรด” โดยการพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ทนทาน มีดีไซน์ที่ทันสมัย และแพ็คเกจที่สะอาด เรียบร้อย เหมาะกับชั้นวางในร้านสะดวกซื้อ
ความสำเร็จของ JOYOUS มาจากการเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายต้องการสินค้าในราคาที่ไม่แพง แต่ดูดีและใช้งานได้จริง เมื่อ JOYOUS ปรับจุดยืนแบรนด์ให้ชัด พร้อมจัดระบบซัพพลายเชนให้เสถียร ก็สามารถเข้าสู่ร้าน 7-Eleven ได้สำเร็จ และปัจจุบันกลายเป็นแบรนด์ที่อยู่คู่กับ 7-Eleven มานานกว่า 25 ปี
บทเรียนจากแบรนด์ที่ไปถึงเชลฟ์ 7-Eleven ได้จริง
1. เข้าใจตลาด และปรับสินค้าให้ใช่
ทั้ง Sunsu, JOYOUS และลุงภักดี ต่างมีจุดร่วมตรงที่เข้าใจว่าตลาดต้องการอะไร และปรับสินค้าให้ตอบโจทย์ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรสชาติ ราคา การใช้งาน หรือรูปลักษณ์
2. มีมาตรฐานคุณภาพ
การจะเข้า 7-Eleven ได้ ไม่ใช่แค่สินค้าต้องดี แต่ระบบการผลิต การบรรจุ การจัดส่ง และการรับผิดชอบต้องมีความเสถียร ไม่ทำให้ระบบจัดจำหน่ายมีปัญหา
3. แพคเกจต้อง “ขายได้ด้วยตัวเอง”
บรรจุภัณฑ์ของทุกแบรนด์ในกรณีศึกษานี้ มีความเรียบง่ายแต่ชัดเจน เช่น ซันซุที่ใช้สีสด + ฟอนต์ใหญ่, JOYOUS ที่ใช้แพคเกจใสสะอาด เน้นความเรียบร้อย ซึ่งช่วยให้ลูกค้าหยิบซื้อง่าย
คำถามพบบ่อย (FAQ)
Q: ถ้าอยากเข้าสินค้าใน 7-Eleven ต้องทำอย่างไร?
ต้องเริ่มจากการพัฒนาสินค้าให้มีความแตกต่าง พร้อมมาตรฐานด้านความปลอดภัย และความสามารถในการส่งสินค้าให้ตรงเวลาเป็นประจำ หากผ่านเกณฑ์เบื้องต้น สามารถติดต่อฝ่ายรับสินค้า CP ALL ได้โดยตรง
Q: ใช้เงินทุนเท่าไหร่ในการเข้าสู่ระบบ 7-Eleven?
เงินทุนขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า เช่น สินค้าอาหารจะมีต้นทุนสูงจากเรื่องคุณภาพและโลจิสติกส์ แต่อย่างน้อยควรมีเงินทุนสำรองสำหรับผลิตลอตแรกประมาณ 50,000–300,000 บาท เพื่อให้สามารถตอบรับออร์เดอร์ล็อตใหญ่จาก 7-Eleven ได้
การนำสินค้าเข้าไปขายใน 7-Eleven อาจดูเหมือนเรื่องใหญ่ แต่หากมีสินค้าโดดเด่น ระบบจัดการดี และความเข้าใจตลาดอย่างแท้จริง แบรนด์เล็ก ๆ ก็สามารถเติบโตจนเข้าชั้นวางระดับประเทศได้ กรณีศึกษาทั้ง Sunsu, กล้วยหอมทอง และ JOYOUS เป็นตัวอย่างที่พิสูจน์แล้วว่า “เริ่มจาก 0 ก็ไปถึงจุดนั้นได้” ด้วยความตั้งใจจริงและกลยุทธ์ที่เหมาะสม